วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

นิทานจริงๆนะ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  
เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก


พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ ของวิเศษต่างๆมากมาย  
พระองค์เริ่มต้นด้วยการ สร้างมหาสมุทร ทั้ง  7 
โดยหลักของการวางของวิเศษ พระองค์จะต้องวางทั้ง  
ของดีและของไม่ดี คู่กันไป  

เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใด  
สมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่นๆ

ทรง เอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ให้อเมริกา  
แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่า กับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย  

เอาป่าอเมซอน วางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่า วางไว้ให้ด้วย  

เอาขั้วแม่เหล็กโลก วางไว้ให้แคนาดา  
แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้  



เอาเทือกเขาหิมาลัย  
ให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก  
แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศ และความแห้งแล้งไว้ให้  

ทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมด  
......  จึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน  


คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศ รูปขวานเล็กๆ ทางแหลมอินโดจีน  
ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัยไป  
แต่ด้วยความที่เขาสูงชันมาก  
เทือกเขาได้เกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด  

ข้าวของที่ดีๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่นๆ  
เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์  


ศิลปะวัฒนธรรมดีๆ อาหารอร่อยที่สุ ดในโลก  
ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่  
--- 
ประเทศไทยหมด ---  


ว้า !! แย่แล้ว พระเจ้า ทรงคิดว่า ประเทศนี้   ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งหมดแน่นอน 


 พระเจ้าทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว  
พระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหว ให้ญี่ปุ่นไปแล้ว  
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศอื่นๆ  
จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่า พระองค์ไม่ยุติธรรม   


กำลังใจ....ให้เธอ

ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา...
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ


ถ้าโกรธกับเพื่อน. . . มองคนไม่มีใครรัก
ถ้าเรียนหนัก ๆ . . . มองคนอดเรียนหนังสือ
ถ้างานลำบาก . . . มองคนอดแสดงฝีมือ
ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ . . . มองคนที่ตายหมดลม



ถ้าขี้เกียจนัก . . . มองคนไม่มีโอกาส
ถ้างานผิดพลาด . . . มองคนไม่เคยฝึกฝน
ถ้ากายพิการ . . . มองคนไม่เคยอดทน
ถ้างานรีบรน . . . มองคนไม่มีเวลา




ถ้าตังค์ไม่มี . . . มองคนขอทานข้างถนน
ถ้าหนี้สินล้น . . . มองคนแย่งกินกับหมา
ถ้าข้าวไม่ดี . . . มองคนไม่มีที่นา

ถ้าชีวิตแย่ . . .มองคนที่แย่ยิ่งกว่า


อย่ามองแต่ฟ้า . . .ที่สูงเกินตาประจักษ์
ความสุขข้างล่าง . . . มีได้ไม่ยากเย็นนัก
เมื่อรู้แล้ว . . . จัก . . . ภาคภูมิแห่งชีวิตตน


 

 


บึงกาฬ จังหวัดที่77ของไทย


จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่มีการร้องขอให้จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2537 ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย
จากการสำรวจความเห็นของประชาชน จำนวน
366,903 คน ปรากฏว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ร้อยละ 98.83 หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ จะมีประชากรประมาณ 399,233 คน ประกอบด้วย 8 อำเภอ ส่วนจังหวัดหนองคาย จะประกอบด้วย 9 อำเภอ ประชากร 506,343 คน

มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
 
ผลการพิจารณา

เมื่อปี พ.ศ. 2537 กระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งผลการพิจารณาว่ายังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี
ต่อมาในปี พ.ศ.
2553 กระทรวงมหาดไทย ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ...
ต่อมาในวันที่
3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จึงนับได้ว่าขณะนี้จังหวัดบึงกาฬได้แยกตัวออกจากจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่ 77 ในราชอาณาจักรไทย
 
อำเภอเมืองบึงกาฬ
อำเภอเมืองบึงกาฬ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดบึงกาฬ
มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง และอีกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) มีการคมนาคมสะดวก
 
ประวัติ

เดิมอำเภอบึงกาฬมีชื่อเดิมว่า ไชยบุรีซึ่งขึ้นกับจังหวัดนครพนม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกโอนย้ายให้ขึ้นต่อจังหวัดหนองคาย และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บึงกาฬ ในปี พ.ศ. 2482
ต่อมา ในปี พ.ศ.
2537 ได้มีการร้องขอให้จัดตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย แต่กระทรวงมหาดไทย ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี
จนกระทั่ง เมื่อวันที่
7 พฤษภาคม 2553 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ส.ส.ส่วน พรรคกิจสังคมได้ตั้งกระทู้ถามสดต่อนายกรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ และทางกระทรวงมหาดไทยเห็นด้วย กำลังอยู่ในกระบวนการนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งเรื่องเข้ามาสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอเป็นกฎหมายพ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อไป
ต่อมาในวันที่
3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้ เป็นต้นไป จึงทำให้อำเภอบึงกาฬ ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเมืองบึงกาฬ




เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว
ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอบึงกาฬ อำเภอบุ่งคล้า อำเภอเซกา และอำเภอบึงโขงหลง มีน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง

















น้ำตกไทรโยค


น้ำตกไทรโยคน้อย  (เขาพัง)
             อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 323 (ถนนสาย
กาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ) กิโลเมตรที่ 46 เป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในจัง
หวัดกาญจนบุรี บริเวณน้ำตกมีสภาพธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่น โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน
ประมาณเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมจะมีน้ำมาก ในอดีตเมื่อ พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จประพาสบริเวณน้ำตกไทรโยค นอกจากนี้
บริเวณน้ำตกไทรโยคน้อยยังได้มีการนำหัวรถจักรไอน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาตั้ง
ไว้เพื่อรำลึกถึงการสร้างทางรถไฟสายมรณะที่สร้างผ่านบริเวณหน้าน้ำตกเข้าสู่ประเทศ
พม่า การรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดขบวนรถไฟสายน้ำตก พานักท่องเที่ยวไปชมน้ำ
ตกแห่งนี้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
 
 

น้ำตกไทรโยคน้อย อยู่ที่อำเภอไทรโยค เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติไทรโยค เป็นน้ำตกชั้นเดียว อยู่ติดกับถนนสายกาญจนบุรี - ทองผาภูมิ ( ทางหลวงหมายเลข 323 ) เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมาช้านาน ต้นกำเนิดเป็นน้ำผุดจากภูเขาแล้วไหลมาตามลำธารเล็กๆไหลตกลงที่ผาหินปูนแผ่กระจายไปตามพื้น
เขาลาดเอียงภายใต้ร่มเงาของพันธุ์ไม้นานาชนิด ในลำธารมีต้นกกขึ้นอยู่กระจัดกระจาย นับเป็น
บรรยากาศที่ชวนให้ไปสัมผัสอีกแห่งหนึ่ง
น้ำตกไทรโยคใหญ่   อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติไทรโยค ตั้งอยู่ที่ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค
จังหวัดกาญจนบุรีเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่แม่น้ำแควน้อย แยกเป็น 2 แพร่ง ส่วนที่อยู่ทางตอนเหนือเป็น
น้ำตกขนาดกลางชั้นเดียว รองรับด้วยชั้นหินสลับกันเป็นชั้นๆมีความสูงประมาณ 8 เมตรทางด้านใต้
เป็นน้ำตกที่มีความสูงมากกว่าสายน้ำที่พุ่งตกลงมากระเซ็นสู่ลำแควน้อย เราสามารถชมทัศนียภาพ
ของน้ำตกไทรโยคได้โดยการเดินข้ามสะพานแขวนไปยังฝั่งตรงข้ามหรือโดยทางน้ำในฤดูหนาวนัก
ท่องเที่ยวนิยมไปสัมผัสบรรยากาศ ของความหนาวเย็นแห่งสายน้ำและขุนเขา ผ่านน้ำตกมีเสน่ห์ชวน
ให้หลงไหลยิ่งนัก


 

ทุ่งทานตะวัน


แล้วก็ตามมาอีกหลายๆ ภาพอย่างนี้

คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ดอกทานตะวันก็เยอะใช้ได้เลยทีเดียว มาถึงก็ถ่ายๆ แล้วก็ถ่าย ถ่ายรูปนะ ไม่ไช่ถ่ายท้อง 555

ตามด้วยดอกเด็ดๆ อีกเพียบ ถ่ายไม่ยั้ง

ถ่ายเดี่ยวแล้ว ยิ้มหน่อย แม่ดอกทานตะวัน













วัดท่าซุง

วัดท่าซุง อุทัยธานี WAT THA SUNG - Uthaithani
This old temple was built in Ayuthaya period.Thailand-World
วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๒๖๕ ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เดิมเป็นวัดที่สร้างในสมัย อยุธยา มีโบสถ์ ขนาดเล็ก ภายในมีจิตรกรรมฝาผนัง เป็นฝีมือพื้นบ้าน วิหาร มีพระปูนปั้นและลายไม้จำหลัก ขอบหน้าบัน มีโบราณวัตถุคือ ธรรมาสน์ ที่หลวงพ่อใหญ่ สร้างบริเวณวัดเดิมอยู่ริมถนนฝั่งคิดแม่น้ำสะแกกรัง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นปูชนียสถานที่สร้างขึ้นใหม่โดย "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" มีบริเวณกว้างขวาง มีพระอุโบสถ สร้างและประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามมีการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ มากมาย เป็นวัดที่ พุทธศาสนิกชน นิยมไปปฏิบัติธรรม วิปัสสนากันมากมาย



ประวัติวัดจันทราราม




(วัดท่าซุง)





วัดท่าซุง มีชื่อว่าวัดท่าซุง เพราะว่าสมัยที่การล่องซุงทางน้ำ แพซุงมักจะพักแวะที่หน้าวัด



แต่ชื่อเดิมของวัดชื่อว่า วัดจันทาราม ตั้งชื่อตามอดีตเจ้าอาวาสชื่อ จันทร์ อดีตเจ้าอาวาสอีกหนึ่งองค์





ที่มีความสำคัญคือ หลวงปู่ไหญ่, หลวงปู่เล่ง, หลวงพ่อไล้ และหลวงปู่ขนมจีน

สำหรับหลวงปู่ใหญ่ และหลวงปู่ขนมจีน พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


ได้สร้างรูปเหมือน และสร้างมณฑปไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้สักการะบูชา เดิมก่อนที่พระเดชพระคุณ


หลวงพ่อจะมาอยู่ วัดท่าซุงทรุดโทรมมาก พระครูสังฆรักษ์อรุณ อรุโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง จึงได้ 


นิมนต์พระเดชพระคุณหลวงพ่อมาจากวัดสะพาน จังหวัดชัยนาท เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑ เพื่อมาช่วยบูรณะ


ปฏิสังขรวัด


วัดท่าซุง แต่เดิมมีเนื้อที่ประมาณ ๖ไร่เศษ ปี ๒๕๑๗ คณะศิษย์และลูกหลานของ


พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ร่วมกันซื้อที่ดินฝั่งตรงข้ามวัดเก่า เพื่อสร้างโบสถ์แทนโบสถ์เก่าที่ชำรุด


ทรุดโทรม ต่อมาก็มีสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาซื้อที่ดินถวายวัดมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันนี้วัดมีเนื้อที่ทั้งหมด


ประมาณ ๕๑๐ ไร่ โดยแยกเป็นเนื้อที่วัด ๒๘๐ ไร่ เนื้อที่ป่า ๒๓๐ ไร่ มีสิ่งปลูกสร้าง และถาวรวัตถุ


มากมายอาทิเช่น




ห้องปฏิบัติพระกรรมฐาน, ศาลา ๒ ไร่, ศาลา ๓ ไร่,ศาลา ๑ ไร่, ศาลา ๑๒ ไร่,


มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร, วิหารสมเด็จองค์ปฐม, วิหารสมเด็จพระศรีอรียเมตไตรย์ 


สิ่งก่อสร้างที่เลื่องลือกันมากที่สุดคือ ศาลา ๑๒ ไร่ และมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร




สมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอก เป็นพระหล่อด้วยโลหะผสมทองคำ ภายในบรรจุ


ุพระบรมสารีริกธาตุ มณฑปทั้งหมดบุแก้วทั้งข้างนอกข้างในสวยงามมาก


มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร เป็นตึก ๒ ชั้น หลังคาเป็นจตุรมุข ๓ ยอด ด้านนอกด้านใน


ปิดกระจกจากชั้น ๒ ถึงยอดหลังคา ภายในปิดกระจกเสาทุกต้น ข้างฝาและเพดานทั้งวิหาร 


พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ประดับด้วยกระจกเงาใสสะท้อนสวยงามมาก ดูเด่นเป็นสง่า ไม่ว่า


จะมองใกล้หรือไกล ตัวตึกสร้างสูงยกพื้น ๑.๕ เมตร มีขนาดกว้าง ๒๘ เมตร ยาว ๑๐๐ เมตร 


สูง ๘ เมตร ภายในวิหารมีพระประธานแบบทรงพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก นอกจากนั้นยังมี


รูปปั้นพระอรหันต์ ๗ องค์ เช่น พระโมคลาน์, พระสารีบุตร อยู่หน้าพระพุทธชินราช ฯลฯ


มีรูปหล่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อลักษณะยืนถือไม้เท้า เพดานวิหารมีช่อไฟระย้าทั้งช่อใหญ่


่และช่อเล็กรวมทั้งหมด ๑๑๙ ช่อ สวยงามมาก และมีบุษบกตั้งศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ตั้ง


อยู่ในมหาวิหารนี้ด้วย


พระวิสุทธิเทพ เป็นพระองค์สำคัญของวัดท่าซุง ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อจำลอง


ของจริงบนพระนิพพาน ชั้นดาวดึงส ์ประดับด้านในพระจุฬามณีเจดียสถาน




พระจุฬามณีตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดท่าซุง ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนพระสุธรรม-


ยานเถระวิทยา และอยู่ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช 


ระวิสุทธิเทพจำลองพร้อมวิหาร "พระจุฬามณี" ในโลกนี้มีอยู่แห่งเดียวที่วัดท่าซุง


ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สร้างขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๓ จะนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็ได้




อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้วัดท่าซุงอย่างมากคือการเป่ายันต์เกราะเพชรการ


เป่ายันต์เกราะเพชร เป็นการอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้บทพระพุทธคุณ


จุดกลางยันต์ เมื่อเข้าไปรักษาคนจะอยู่ที่กระหม่อม แล้วจะวนรอบทั่วร่างกายใช้ป้องกัน และแก้โรค


ไสยศาสตร์ได้ สำหรับยันต์เกราะเพชร เป็นยันต์ยอดธงมหาพิชัยสงครามสมัยสุโขทัย สมัยนั้นตอน


เรารบทำสงครามกันจะมีผู้ถือยันต์นำหน้าทัพ ยันต์เกราะเพชรเป็นยันต์ที่ทำไว้สูงกว่ายันต์พิชัยสงคราม


เป็นยันต์ยอดธง ซึ่งทางวัดท่าซุงย่อส่วนลงมาให้เล็กลง ผ้ายันต์แดงเป็นยันต์พิชัยสงคราม 


ยันต์เกราะเพชรเป็นผ้าสีขาว




ท่านสาธุชนสามารถมาปฏิบัติธรรมที่วัดได้ โดยค้างที่วัดได้คราวละอย่างมาก ๗ วัน ต้องมี


บัตรประชาชนมาแสดงด้วย หากเป็นพระต้องมีใบรับรองจากเจ้าอาวาสที่ท่านสังกัดมาแสดงโดยทางวัด


จะฝึกกรรมฐานทั้งแบบมโนมยิทธิและกรรมฐานแบบปกติในเวลา ๑๒.๓๐ - ๑๔.๐๐ น.เตรียมเสื้อผ้า


ที่สุภาพมาให้เพียงพอ ทางวัดมีที่พักและห้องน้ำไว้บริการเพียงพอ แต่ห้ามไม่ให้ดื่มเหล้า และเล่น


การพนันรวมทั้งอบายมุขทุกอย่าง สำหรับเวลาเปิด - ปิดมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร มีสองเวลาคือ 


ระหว่าง ๙.๐๐ - ๑๒.๓๐ น. และ ๑๔.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.




" จงอย่าสนใจจริยาของบุคคลอื่น และการเจริญสมาธิจงอย่าทำเพื่อโอ้อวด การเจริญสมาธิ


ที่จะทำให้ดีได้ ให้ถือใจความพระพุทธเจ้าว่า ใครเขาจะมีกินมาก ใครเขาจะมีกินน้อย ใครเขา


อ้วนมาก ใครเขาอ้วนน้อย ใครเขามีสาวกมาก ใครเขามีสาวกน้อย คนนั้นมีสมบัติมาก คนนั้นมี


สมบัติน้อย คนนั้นเจริญสมาธิ วิปัสสนาญาณ แล้วยังแต่งตัวสวย ยังผัดหน้า ยังทาแป้ง ใครเขาจะดี


จะชั่วอย่างไร เป็นเรื่องของเขา จงอย่าไปสนใจ เราจะนั่งสมาธิก็จงอย่านั่งให้บุคคลอื่นเห็น ถ้าหาก


ไปทำอย่างนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ยังมีกิเลสอีกมาก "

ทุ่งดอกกระเจีียวสุพรรณบุรี




สวยจริงๆเลย


บรรยากาศดีมาก
ดอกกระเจียวก็สวย
น่าไปเที่ยวชมจังเลย
อิจฉาคนที่ได้ไปจัง
ว่างๆเราควรไปเที่ยวกับครอบครัวนะ